ช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมานี้ มีหลายเกมที่พยายามผลักดันตัวเองเข้ามาสู่วงการ ESports กันอย่างมากมาย ทั้งที่อยู่ในวงการอยู่แล้ว หรือมาใหม่ก็ตาม บ้างก็ยืนหนึ่งจัดแข่งกันอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ล้มหายตายจากไป น้อยเกมนักที่จะสามารถ Come back กลับมาเป็นแถวหน้าในวงการได้ แต่ก็มีเกมหนึ่งที่ทำได้สำเร็จ เบียดตัวเองขึ้นมาสู่แถวหน้าของเกมสำหรับแข่ง ESports ได้ เกมนั้นก็คือ Rainbow Six Siege
สำหรับเกมเมอร์รุ่นเก่า Rainbow Six เป็นชื่อที่คอเกมเดินหน้ายิงแนวยุทธวิธีต่างชื่นชอบกันอย่างมาก เพราะมันถูกสร้างมาจากนิยายของ Tom Clancy นักเขียนนิยายเกี่ยวกับทหารชื่อดังชาวอเมริกันระดับ Best Seller ตัวเกมมีรายละเอียดในการวางแผนทำภารกิจ จัดทีม และการเลือกยุทโธปกรณ์ที่เก็บมาหมดทุกเม็ด ทำให้ถูกอกถูกใจผู้เล่นสายวางแผนออกปฏิบัติการปราบผู้ก่อการร้ายแบบสมจริงอย่างมาก
Rainbow Six ภาคแรกสุดถูกพัฒนาโดย Red Strom(ที่ถูก Ubisoft ซื้อไปในภายหลัง) ออกวางขายให้กับเครื่องเกม PlayStation, Nintendo 64 และ PC ซึ่งก็กลายเป็นเกมแหวกแนวเฉพาะทางแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน และสร้างกลุ่มแฟนเกมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้ในยุคเดียวกันนั้นเราจะมีเกมที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าอย่าง Half-Life, DOOM หรือ Quake แต่ก็มีแฟนเกมแนวเดินหน้ายิงชนิดเข้าเส้นยกย่องให้ Rainbow Six เป็นเกมเดินหน้ายิงเชิงยุทธวิธีแบบที่ไม่มีเกมไหนสามารถให้ได้ จากความละเอียดเอาใจใส่ และความยากที่ยากที่จะหาคนพิชิตได้ แต่ก็ท้าทายยอมอดทนเล่นจนจบ เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของเกมเมอร์ในยุคนั้นก็ว่าได้
กาลเวลาผ่านไป Rainbow Six ได้รับความนิยมลดลง เพราะความยากของเกมที่อยู่ในระดับสูง พลาดเพียงนิดเดียวก็เกมโอเวอร์ได้ แม้ในเกมภาคหลังจะถูกปรับระบบให้เล่นง่ายขึ้น แต่ก็ไม่สามารถกลับมาผงาดเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมได้เหมือนในยุคแรกได้อีก เพราะความน่าดึงดูดในการเล่นหายไปและออกห่างจากสิ่งที่มันเคยเป็น รวมถึงไม่มีสิ่งใหม่มานำเสนอให้กับผู้เล่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนแทบเลือนหายไปจากความทรงจำของคนเล่นเกม
แต่แล้วในงาน E3 2014 งานเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ทาง Ubisoft ผู้พัฒนาเกมก็ได้นำ Rainbow Six กลับมาคืนชีพอีกครั้งในชื่อภาคว่า Siege ด้วยตัวอย่าง Gameplay ที่คอเกม Multiplayer หลายคนเห็นแล้วร้องว้าว มันมาพร้อมกับระบบการเล่นที่เอื้อต่อเกมแบบเผชิญหน้ากันระหว่างผู้เล่นด้วยกันเองที่เป็นหน่วยพิเศษและผู้ก่อการร้าย ผู้เล่นทั้งสองฝั่งต่างระทึกไปกับการไล่ล่าในภารกิจหลากหลายรูปแบบ แค่เห็นก็ตาลุกวาวแล้ว
แต่ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของผู้ที่อยากเล่น ก็มีเสียงต่อต้านจากแฟนเกมรุ่นเก่า ที่ไม่ยอมรับว่านี่คือเกม Rainbow Six ที่ตัวเองชื่นชอบ แต่เป็นเกมที่ขายจิตวิญญาณดั้งเดิมของเกมไปให้กับกระแสของโลกแล้ว ความฮาร์ดคอร์หรือสมจริงหายไป ไม่มีอีกแล้วกับการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อจัดการเหล่าผู้ก่อการร้ายแบบที่คุ้นเคย และฟันธงว่าจะมีจุดจบไม่ต่างจากเกมเดินหน้ายิงแบบ Multiiplayer อีกหลายเกมอย่างแน่นอน
1 ธันวาคม 2015 คือวันแรกที่ Rainbow Six Siege ออกวางจำหน่าย นำเสนอการเล่นในสไตล์ First Person ต่อกรกับ AI หรือผู้เล่นที่เป็นคนจริง ๆ แบบรอบต่อรอบ ตายแล้วรอฟื้นรอบใหม่ เหมือนกับเกมอย่าง Counter Strike แค่ปราบฝ่ายตรงข้ามให้หมดหรือทำภารกิจให้สำเร็จสำหรับฝ่ายรุก(หรือป้องกันเป้าหมายของตนเองให้ได้จนหมดเวลา) หากแต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างในเกมแนวเดียวกันก็คือการใช้ความสามารถพิเศษและอาวุธของเหล่าหน่วยพิเศษในเกมที่แตกต่างกัน เช่น Sledge ที่มาพร้อมค้อนคู่ใจเอาไว้พังกำแพงเปิดทางให้เพื่อนร่วมทีม Bandit กับการวางรั้วไฟฟ้าดักทางฝ่ายตรงข้ามพร้อมความเร็วในการเคลื่อนที่ระดับสูง เหล่านี้ผสมรวมกับการทำงานเป็นทีมทำให้เกิดความสนุกพร้อมการแข่งขันขึ้นมาในที่สุด
นอกจากการใช้ความสามารถของเหล่าหน่วยพิเศษเพื่อสร้างกลยุทธ์ขึ้นมาแล้ว ลูกเล่นของแผนที่ในเกมก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ผู้เล่นสามารถเจาะกำแพงหรือพื้นของอาคารในหลายจุดเพื่อสร้างทางเข้าหรือจุดที่ได้เปรียบในการรุกหรือรับได้อย่างอิสระ แม้เป็นเพียงรูเล็ก ๆ แต่ก็สามารถสร้างเป็นจุดยิงสังหารฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่ากลัว หรือการสร้างความประหลาดใจด้วยการใช้อุปกรณ์พิเศษ โปรยระเบิดเข้าไปในห้องที่ศัตรูอยู่กันเต็ม เป็นต้น
ความแปลกใหม่ดังกล่าวนี้ดึงดูดผู้เล่นที่ประทับใจจากตัวอย่างของเกมได้แทบจะทันที เพราะมันไม่ใช่แค่การวัดฝีมือด้วยการเล็งยิงเพียงอย่างเดียว การเข้าใจแผนที่และสร้างแผนการเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับทีมของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน นี่คือเกมแบบ First Person Multiplayer ที่มีศักยภาพมากที่สุดเกมหนึ่งที่ออกมาในเวลานั้น
ทว่าความแปลกใหม่นี้สร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นได้ไม่นาน เพราะเนื้อหาของเกมที่วางจำหน่ายในช่วงแรกนั้นมีน้อยมาก กับแผนที่ในเกมเพียง 10 ฉาก Operator หรือตัวละครในเกมฝ่ายละสิบกว่าตัวเท่านั้น รวมถึงการปล่อยเนื้อหาเสริมของเกมที่ล่าช้า จนแฟนเกมต่างตั้งคำถามถึงเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องว่า “เมื่อไหร่?” แต่คำตอบที่ได้มีเพียงแค่คำว่า “ในไม่ช้านี้” เท่านั้น
นอกจากเนื้อหาที่มีน้อยแล้ว การค้นหาห้องเพื่อเล่นร่วมกับผู้เล่นอื่นก็ประสบปัญหามากมายเช่นกัน แม้จะเป็นภูมิภาคเดียวกัน ก็ยังกระตุกหรือ Ping พุ่งขึ้นสูงจนเล่นไม่ได้ และปัญหาสามัญอีกอย่างของเกมที่มีผู้เล่นมารวมตัวกันเยอะ ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นก็คือเหล่าคนโกงทั้งหลายที่ใช้ความได้เปรียบจาก Bug ของเกมเอาเปรียบผู้เล่นอื่น Aim Bot โปรแกรมโกงหลากชนิดถาโถมเข้ามาชนิดล้นทะลักชนิดที่ว่าเข้าสิบเกมเจอแปดเกม เจอแบบนี้เข้าไปยอดผู้เล่นของ Rainbow Six Siege จึงตกฮวบแบบที่ไม่มีใครคิดว่าจะกลับมาได้อีกแล้วกันเลย
หลังวางจำหน่ายได้ไม่นาน Ubisoft ก็เปิดให้คนทั่วไปเข้าลองเล่นแบบฟรี ๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อกระตุ้นกระแส ถึงจุดนี้หลายคนคงฟันธงไปแล้วแน่นอนว่า Rainbow Six Siege ต้องมาถึงจุดจบอย่างแน่นอน
แต่ด้วยการกลับมาฮึดสู้อีกครั้งของทีมงาน ที่เริ่มมีการวางแผนเปิดตัวเนื้อหาเสริมแบบต่อเนื่องเป็น Season ไป ในเดือนสิงหาคมปี 2016 Ubisoft ปล่อยส่วนเสริมของเกมออกมา 3 ตัวใหญ่ ๆ คือ Operation Black Ice, Dusk Line และ Skull Rain ที่แนะนำทั้งตัวละครใหม่ทั้งสองฝ่าย แผนที่ใหม่ การปรับสมดุลของเกมกับการเชื่อมต่อ ระบบลุ้นของแต่งตัวอีกมากมายเข้าไป และที่เยี่ยมที่สุดคือการสร้างระบบจัดการกับคนโกงและผู้เล่นประเภท Toxic สร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่นอย่างเด็ด มีการแบนพร้อมประจานกันอย่างต่อเนื่องจนหลายคนขยาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เล่นน้ำดีให้กลับมาสู่เกมอีกครั้ง
และหลังจากนั้นก็เหมือนกับเป็นน้ำป่าที่ไหลไม่มีหยุด ผู้เล่นเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น มีเหล่านักกีฬา ESports หลายคนที่เริ่มเข้ามาจับเกมนี้กันอย่างจริงจัง ทีมใหญ่ระดับโลกเริ่มฟอร์มทีมหาตัวนักกีฬากันอยากคึกคัก พร้อมกับที่ผู้เล่นหลายคนเริ่มแชร์ข้อมูล เทคนิคของตัวเกมมากขึ้น ทุกอย่างเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคง
และเมื่อตัวเกมทำเงินได้ Ubisoft ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเริ่มสนับสนุนให้ตัวเกมเริ่มมีการแข่งขันอย่างจริงจัง และงาน Six Invitation ที่เป็นงานแข่งรายการใหญ่ของ Rainbow Six Siege ครั้งแรกก็ถูกจัดขึ้นในปี 2017 พร้อมกับการเชิญทีม ESPorts ระดับโลกมาเข้าแข่งขันมากมาย และยังสร้างช่วงเวลาดี ๆ ในการแข่งขันให้ทุกคนได้ลุ้นกันจนตัวโก่ง กลายเป็นหนึ่งในงานแข่งขันเกมที่น่าจับตามองของโลกไปโดยปริยาย
ปัจจุบันนี้ตัวเกมก็ยังคงได้รับการอัพเดตเพิ่มของใหม่เข้าไปแบบต่อเนื่อง พร้อมกับทีมงานที่ดูแลแก้ไขปัญหาของเกมอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีช่วงเวลาที่ตัวเกมอาจจะมีปัญหาตัวละครเก่งเกินไปบ้าง แต่ก็ได้รับการดูแลแก้ไขในเวลาต่อมา จากเดิมที Rainbow Six Siege เป็นเกมที่แทบจะไม่มีใครหันไปมองเพราะปัญหาที่รุมเร้า แต่ด้วยความอดทนตั้งใจแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ทำให้เกมสามารถกลับมาได้อีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรี และกลายเป็นเกมที่สร้างรายได้ให้กับ Ubisoft มากถึง 1.1 พันล้านเหรียญ และมีผู้เล่นต่อเนื่องสูงกว่า 45 ล้านคนในตอนนี้ พร้อมกับวางแผนอัพเดตตัวเกมไปอย่างยาวนานร่วม 10 ปีกันเลย
เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหาก Ubisoft ถอดใจทิ้งตัวเกมไปเฉย ๆ และนั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเพราะตัวเกมนั้นเดิมทีก็มีศักยภาพในตัวของมันเองมากพออยู่แล้ว ต้องขอบคุณพวกเขาที่อดทนและแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด จนเกมกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง และกลายเป็นที่จับตามองทั้งในวงการเกมและวงการกีฬา ESports มาจนถึงตอนนี้ครับ
245Comments