ปัจจุบันนี้เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าวิดีโอเกมเป็นสื่อที่ทรงพลังและมีอิทธิพลมากต่อการใช้ชีวิตของคนเรา เพราะมันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เล่นหรือผู้ชมให้อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างหรือเป็นเชื้อเพลิงในการเติมไฟให้ความฝันของแต่ละคน เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

แต่สำหรับบางคน วิดีโอเกมอาจจะเป็นมากกว่าการเติมเต็มความสุขในด้านความเพลิดเพลิน หากแต่เป็นสื่อกลางที่เชื่อมความสัมพันธ์ให้กับครอบครัวที่เคยขาดหายไป ก่อนที่จะสายเกินไปได้เหมือนกัน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นใน Final Fantasy XIV: Dad of Light แสดงให้เราได้เห็นกัน จนเป็นความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน

Final Fantasy XIV: Dad of Light เป็นเรื่องราวของ “อากิโอะ” หนุ่มน้อยวัยทำงานที่ห่างเหินกับพ่อของตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทว่าทั้งเขาและพ่อต่างก็มีเรื่องดี ๆ ร่วมกัน นั่นก็คือเกม Final Fantasy ภาคแรกที่พ่อของเขาซื้อให้เล่น และที่น่าดีใจคือพ่อของเขาที่ปกติไม่ค่อยเห็นด้วยเขาชอบเล่นเกมนั้นเข้ามาร่วมเล่นด้วย กลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าไปในที่สุด วันเวลาผ่านไป แม้อากิโอะจะมีงานทำมั่นคงแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือยังคงเล่น Final Fantasy อยู่ เขายังคงเพลิดเพลินกับเรื่องราวในดินแดน Eorzea ร่วมกับเพื่อน ๆ ในระบบออนไลน์ แต่เขากับพ่อก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย จนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับพ่อของเขา ที่ทำให้ต้องกลับมาจับเกมFinal Fantasy อีกครั้งหลังจากห่างหายไปหลายปี และภารกิจลับของเขาก็คือการคอยดูแลพ่อในเกม โดยที่ต้องไม่ให้ถูกจับได้ ส่วนเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรนั้น ขอแนะนำให้ทุกท่านลองไปดูกัน รับรองว่าประทับใจแน่นอน


สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเรื่องราวของ Dad of Light นั้นมีเค้าโรงมาจากเรื่องจริงของ Blogger ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งทางอินเทอร์เนต ซึ่งสร้างความประทับใจและโด่งดังมาอย่างยาวนาน มีการอัพเดตเป็นระยะ ๆ ว่าการเล่นเกมของพ่อกับเขานั้นเป็นอย่างไร แม้ตัวพ่อของอากิโอะจะไม่ทราบว่าคนที่เข้ามาดูแลและร่วมเล่นด้วยนั้นจะเป็นลูกชายของเขาเอง แต่นั่นก็ทำให้คุณพ่อได้รับรู้ถึงความสนุกและมิตรภาพที่สามารถก่อเกิดได้จากการเล่นเกมออนไลน์ร่วมกับผู้อื่นได้ อีกเรื่องที่น่าสนใจคือความสนใจในเรื่องวิดีโอเกมกับผู้ใหญ่สูงอายุที่หลายคนมักจะคิดกันว่าไปด้วยกันไม่ได้ เพราะภาพจำที่เราต่างคุ้นเคยก็คือมุมมองต่อเกมที่ไม่ดีนักของผู้ใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเกมคือต้นเหตุของปัญหาทั้งหลายทั้งมวลและนำไปสู่เรื่องที่ใหญ่กว่านั้น และทำให้ถูกหันเหไปจากสิ่งที่ดีงามทั้งที่ไม่ใช่แบบนั้น แต่ใน Dad of Light นี้เราจะได้เห็นภาพของผู้ใหญ่สูงอายุที่ได้รับรู้ถึงความสนุกที่อยู่ในเกม เปิดโลกและสังคมในแบบที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่บนโลกใบนี้ด้วย


เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงแม่ของตัวเองที่ชอบเล่นเกมเหมือนกัน แม้ทุกวันนี้จะเกษียณจากการทำงานและชื่นชอบการท่องเที่ยวทำบุญไปทั่วประเทศ แต่มีสิ่งหนึ่งเขาชื่นชอบไม่แพ้กันคือการเล่นเกมบนมือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์ และนั่นก็เป็นหนึ่งในสะพานเชื่อมใจระหว่างครอบครัว เพราะเขาจะเข้าใจว่าอาชีพที่ผู้เขียนทำนั้นเป็นอย่างไร พร้อมกับได้รับรู้ถึงความสนุกของเกม เอาไปแนะนำเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ไปทำบุญด้วยกันได้ แถมยังมาร่วมเล่นเกมหรือทำกิจกรรมอื่นด้วยกันได้อย่างสบายใจ พร้อมกับพบกับสังคมใหม่ ๆ ที่เขาอาจไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตจริง Dad of Light นำเสนอประเด็นในเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างอบอุ่นลงตัว และสอนให้เราได้ระลึกถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว ซึ่งหลายครั้งการไม่พูดคุยกันจนเกิดช่องว่างระหว่างคนในบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาได้ เราจะไม่รู้เลยว่าพ่อ แม่ หรือลูกกำลังต้องเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องงาน ความกดดันจากสังคม หรือสภาวะซึมเศร้าที่ถาโถมเข้ามา ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไป


และสถาบันครอบครัวในบ้านของเราเองนี่แหละคือที่แรกและที่สุดท้ายที่ผู้คนคาดหวังว่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดที่จะไม่เจอปัญหาใด ๆ เป็นที่พักพิงเติมพลังก่อนกลับไปสู้กับความโหดร้ายในสังคมต่อไป

สำหรับผู้ที่อยากไปชม Final Fantasy XIV: Dad of Light ฉบับภาพยนตร์ แล้วกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่องเพราะไม่เคยเล่นเกมมาก่อนก็สบายใจได้ เพราะตัวหนังมีการอธิบายสิ่งที่อยู่ในเกมอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่เข้าใจได้ง่ายมาก ยิ่งถ้าหากคุณเป็นเกมเมอร์อยู่แล้วก็จะเข้าใจบริบทในเรื่องได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือตัวหนังมีการร้อยเรียงตัดต่อให้ดูเข้าใจได้ง่ายและอบอุ่นอยู่แล้ว จึงเหมาะมากสำหรับพาพ่อแม่บุตรหลานที่ชื่นชอบการเล่นเกมไปดูด้วยกัน แม้ในตอนนี้จะมีโรงฉายเหลืออยู่น้อยมากแล้วก็ตาม แต่ก็ขอแนะนำให้ไปดูกันอย่างจริงจัง

เพราะมันจะทำให้คุณเข้าใจถึงความคิดและตัวบุคคลในครอบครัวมากขึ้น รวมไปถึงมุมมองของฝ่ายคนหนุ่มสาวที่เล่นเกมได้อย่างถ่องแท้มากขึ้นครับ

เรื่องน่ารู้


  • Final Fantasy XIV: Dad of Light มีเวอร์ชั่นซีรีส์ออกฉายทาง Netflix มาตั้งแต่ปี 2017 และได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เล่น Final Fantasy และเกมเมอร์ทั่วโลก มีความยาวทั้งหมด 8 ตอนด้วยกัน
  • ครั้งหนึ่งคุณ Naoki Yoshida ผู้กำกับของเกมเคยกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่ตัวเกมเปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2010 แล้วต้องประสบกับปัญหามากมายจนทำให้ชื่อของ Final Fantasy ต้องแปดเปื้อน ทำให้ทุกคนต่างพูดกันว่า จุดจบของซีรีส์นี้จะจบสิ้นลงในปี 2010 อย่างแน่นอน แต่ด้วยความไม่ย่อท้อ ยอมรื้อเกมทำใหม่หมดและกลับมาอีกครั้งในชื่อ A Realm Reborn ก็ทำให้ตัวเกมกลับมาคืนชีพอีกครั้งหนึ่งได้สำเร็จ
  • ปัจจุบันเกม Final Fantasy XIV: A Realm Reborn มีผู้เล่นมากกว่า 16 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2013 และเป็นหนึ่งในเกมที่ทำรายได้ต่อเดือนสุดที่สุดของ Square Enix มาจนถึงปัจจุบัน โดยภาคเสริมล่าสุดคือ Shadowbringers ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปในปีนี้